5 วิธีเพิ่ม ออกซิเจนในเลือด ด้วยตัวเอง
ระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ อาการปวดศีรษะ ไอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว ไปจนถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับทางสมอง เช่น เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ การมีออกซิเจนที่เพียงพอต่อร่างกายยังช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความแข็งแรง ช่วยให้ไม่เหนื่อยง่าย...
ออกซิเจนในเลือด เป็นสิ่งที่ใช้บ่งบอกถึงปริมาณออกซิเจนที่ไหลเวียนอยู่ในเลือด ซึ่งวัดได้จากการเจาะเลือดมาตรวจ หรือใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว โดยออกซิเจนจะมีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะเซลล์ อวัยวะ และระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมอง ล้วนจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนเป็นส่วนประกอบ ออกซิเจนสามารถพบได้ทั่วไปในอากาศ ซึ่งทุกคนสามารถได้รับเป็นปกติอยู่แล้วผ่านการหายใจ แต่ก็มีบางปัจจัยเช่นกันที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับออกซิเจนในเลือดได้ เช่น การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนในอากาศน้อย ภาวะหายใจผิดปกติ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ การสูดดมควันในปริมาณมาก การเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง โดยเฉพาะโรคทางปอดและหัวใจ และการใช้ยาบางชนิด
ออกซิเจนในเลือด ความสำคัญต่อร่างกายและสมอง
ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อร่างกาย เพราะทั้งเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ หรือระบบการทำงานพื้นฐานของร่างกาย เช่น การขยับตัว การย่อยอาหาร หรือแม้แต่การคิด ล้วนจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่ควบคุมระบบประสาทอย่างสมอง ออกซิเจนยิ่งมีความจำเป็นต่อสมองเป็นอย่างมาก เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก หรือประมาณ 1 ใน 5 ของปริมาณออกซิเจนทั้งหมดในร่างกายเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเซลล์สมองยังเป็นเซลล์ที่ตอบสนองต่อการลดลงของระดับออกซิเจนในเลือดได้ไวอีกด้วย
ออกซิเจนในเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
นอกจากนี้ การมีออกซิเจนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายยังอาจมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความแข็งแรง อาจช่วยให้ไม่เหนื่อยง่าย รวมถึงอาจช่วยให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งและมีความจำที่ดีขึ้นได้ หากระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง อาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ ตั้งแต่อาการทั่วไป อย่างอาการปวดศีรษะ ไอ หายใจมีเสียงหวีด หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว ไปจนถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับทางสมอง เช่น เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ หรือเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจ สำหรับระดับออกซิเจนในเลือดที่เหมาะสม หากวัดด้วย เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (pulse oximeter) ออกซิเจนในเลือดควรจะอยู่ระหว่าง 95–100 เปอร์เซ็นต์
วิธีเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดด้วยตัวเอง
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับวิธีเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดด้วยตัวเอง ควรเข้าใจก่อนว่า วิธีเหล่านี้เป็นเพียงวิธีที่ใช้สำหรับดูแลตัวเองในเบื้องต้นเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำจากการเจ็บป่วย เช่น โรคหืด ปอดบวม โรคหัวใจ หรือโรคใด ๆ ก็ตาม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นหลักก่อน แล้วะค่อย ๆ ลองใช้ 5 วิธีทางเลือกดังต่อไปนี้ควบคู่ไปด้วย
1. ฝึกหายใจ
เนื่องจากการสูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ จะทำให้ปอดได้ขยายตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หายใจได้สะดวกขึ้นนั่นเอง การฝึกหายใจจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี โดยขอยกตัวอย่างมา 2 วิธี ที่สามารถทำได้ง่ายมาให้ผู้ที่ต้องการฝึกได้ลองนำไปปรับใช้กัน
วิธีแรก
เริ่มด้วยการนั่งตัวตรงหรือนอนราบไปกับพื้น ผ่อนคลายร่างกายและหัวไหล่ และทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- หายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ ประมาณ 2 วินาที
- ค่อย ๆ หากใจออกทางปากเป็นระยะเวลา 4 วินาที โดยที่ระหว่างหายใจออก ให้ห่อปากเล็กน้อย คล้ายกับกำลังผิวปาก
- ทำซ้ำจนครบ 5–10 ครั้ง
วิธีที่สอง
เริ่มด้วยการนอนราบไปกันพื้น ผ่อนคลายร่างกายและหัวไหล่ และทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- วางมือข้างใดข้างหนึ่งลงบนหน้าอก ส่วนอีกข้างให้วางบนหน้าท้อง
- ค่อยหายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ และกลั้นค้างเอาไว้ประมาณ 2–4 วินาที โดยขณะหายใจเข้า ส่วนของร่างกายที่ขยายตัวควรจะเป็นช่วงท้อง ไม่ใช่บริเวณหน้าอก
- ค่อย ๆ หายใจออก โดยในระหว่างหายใจออก ควรรู้สึกว่าบริเวณท้องค่อย ๆ ยุบลงช้า ๆ
- ทำซ้ำจนครบ 5–10 ครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการฝึกหายใจควรฝึกทำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรทำติดต่อกันถี่ ๆ เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืด หรือเวียนศีรษะได้
2. ดื่มซุปไก่สกัด เพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองมากขึ้น
ซุปไก่สกัดเป็นเครื่องดื่มที่ได้มาจากกระบวนการสกัดเนื้อไก่ มีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีสารอาหารหลัก ๆ เป็นกรดอะมิโน ไดเปปไทด์ (Amino Dipeptide) อย่างคาร์โนซีน (Carnosine) และแอนเซอรีน (Anserine) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งยังเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย สำหรับประโยชน์ในด้านการเพิ่มออกซิเจน มีงานวิจัยที่ศึกษาโดยการเปรียบเทียบผู้เข้าทดลอง 2 กลุ่ม ระหว่างผู้ที่ดื่มซุปไก่สกัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน กับผู้ที่ดื่มซุปไก่สกัดหลอก แล้วพบว่ากลุ่มที่ดื่มซุปไก่สกัดมีออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมองมากขึ้น โดยเฉพาะสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำและการควบคุมสมาธิ
ดังนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยเติมสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายแล้ว การดื่มซุปไก่สกัดยังอาจมีส่วนช่วยให้ออกซิเจนในร่างกายไหลเวียนไปเลี้ยงที่สมองได้ดีขึ้นอีกด้วย การเลือกดื่มซุปไก่สกัดควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาด ได้มาตรฐาน มีไขมันและโซเดียมต่ำ รวมทั้งไม่มีวัตถุกันเสีย โดยปกติแล้ว การดื่มซุปไก่สกัดเพื่อบำรุงสมองถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัยต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ดื่มก็ควรดื่มในปริมาณตามที่ฉลากผลิตภัณฑ์แนะนำ และหากมีปัญหาสุขภาพใด ๆ อยู่ ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน
3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการสูดดมควันบุหรี่
การสูบบุหรี่หรือการสูมดมควันบุหรี่เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลงได้ อีกทั้งยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวกับทางระบบทางเดินหายใจได้อีกด้วย
4. เปิดหน้าต่างหรือประตูเพื่อให้อากาศถ่ายเท
การเปิดประตูหรือหน้าต่างในบ้านก็เป็นอีกวิธีที่ทำได้ง่ายที่จะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนที่มากขึ้น หรือหากเป็นไปได้อาจลองหาเวลาออกไปเดินในที่ที่อากาศปลอดโปร่ง เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับอากาศที่มากขึ้น รวมถึงยังเป็นการช่วยคลายความเครียดและกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวอีกด้วย
5. ปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน & ในบ้าน
การปลูกต้นไม้รอบบ้านเป็นวิธีที่อาจช่วยให้อากาศในบ้านมีออกซิเจนที่มากขึ้น แต่อาจจะต้องเลือกชนิดของต้นไม้ให้เหมาะสม โดยต้นที่สามารถปลูกได้ก็เช่น ต้นเศรษฐีเรือนใน พลูด่าง หรือเบญจมาศ เนื่องจากต้นไม้บางชนิดอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ที่มีเด็กหรือเลี้ยงสัตว์ในบ้านได้
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่ เช่น โรคหืด ควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองอยู่ด้วยเสมอ เนื่องจากการปลูกต้นไม้บางชนิดอาจส่งผลให้ภายในบ้านมีระดับความชื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราที่อาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคหืดเกิดอาการได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้เป็นเพียงวิธีดูแลตัวเองในเบื้องต้นเท่านั้น ผู้ที่พบว่าระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 90–92 เปอร์เซ็นต์ ทีวัดได้จาก เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (pulse oximeter) หรือเริ่มพบอาการผิดปกติบางอย่างร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกสับสน หรือผิวหนัง เล็บ และริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือแดงสด ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที
Cr. กองบรรณาธิการทางการแพทย์ POBPAD,โรงพยาบาลบางปะกอก 3,รพ.สินแพทย์