บัตร RFID ไร้สัมผัส
บัตร RFID ส่งสัญญาณวิทยุไปยัง เครื่องอ่าน ระยะไกล สูงสุด 100 เมตร เหมาะสำหรับ การติดตามทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ เช่น รถบรรทุก ตู้คอนเทนเนอร์ หรือ ยานพาหนะในระบบ Toll Collection (เก็บค่าทางด่วนอัตโนมัติ) ระบบระบุตำแหน่ง....
ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน บัตรชิปการ์ด ที่ฝังเทคโนโลยี RFID ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การผสมผสานความปลอดภัยของ เทคโนโลยีไมโครชิป เข้ากับความสะดวกสบายของการสื่อสารแบบไร้สาย ส่งผลให้ บัตร RFID ทำธุรกรรมแบบไร้สัมผัสและไร้สาย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งขับเคลื่อนธุรกรรมรอบตัวเราได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การยืนยันตัวตน การชำระเงิน ไปจนถึง การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลแบบจำกัด เนื่องจาก บัตรสมาร์ทการ์ด เหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจถึงการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลายและประโยชน์ที่ได้รับ จึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเข้าใจก่อนหน้านี้ เรามาทำความเข้าใจ วิธีการทำงานของ บัตร RFID นี้กันมากขึ้นดีไหม ความสำคัญของบัตรเหล่านี้ และ วิธีการต่างๆ ที่บัตรเหล่านี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานด้วยเทคโนโลยีไร้สายสมัยใหม่

บัตร RFID และ เทคโนโลยี RFID
เพื่อให้เข้าใจบทบาทของ บัตรชิปการ์ด ที่ใช้เทคโนโลยี RFID อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานทั้งในด้านโครงสร้างของ ชิปการ์ด และ เทคโนโลยี RFID ส่วนนี้จะอธิบายโครงสร้างของชิปการ์ด กลไกการทำงานของ RFID และประเภทความถี่ต่างๆ ของการ์ด RFID

1. ส่วนประกอบของ บัตรชิปการ์ด
บัตร RFID คือ บัตรพลาสติกที่ฝัง ไมโครโปรเซสเซอร์ หรือ ชิปหน่วยความจำไว้ภายใน มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น การตรวจสอบยืนยันตัวตน การประมวลผลเพื่อการชำระเงิน และ การจัดการข้อมูลภายในบัตร ส่วนประกอบสำคัญได้แก่
ไมโครชิป (ชิปประมวลผล หรือ ชิปหน่วยความจำ) : ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล การเข้ารหัส และ การจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย
แบบสัมผัสหรือแบบมีเสาอากาศภายในบัตรฯ : บัตรชิปการ์ดแบบสัมผัส หรือที่เรียกว่า บัตรสมาร์ทการ์ด แบบสัมผัส มีขั้วโลหะที่มองเห็นได้ ซึ่งสื่อสารกับ เครื่องอ่านบัตรฯ ผ่านการเสียบบัตรเข้าไปในเครื่องฯ ส่วน บัตรชิปการ์ดแบบไร้สัมผัส หรือที่เรียกว่า บัตร RFID มีเสาอากาศภายใน ที่ช่วยให้สามารถสื่อสารระหว่างเครื่องอ่านฯ และ บัตรแบบไร้สาย โดยไม่ต้องไปสัมผัสกับเครื่องอ่านฯ
พื้นที่หน่วยความจำภายในบัตร : ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อมูลประจำตัวสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์

2. เทคโนโลยี RFID & วิธีการทำงาน
RFID (Radio Frequency Identification) เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกันพร้อมระบุตัวตนแบบไร้สัมผัส หรือสื่อสารแบบไร้สาย ซึ่งวิธีการสื่อสารจาก เครื่องอ่านบัตรฯ ปล่อยคลื่นสัญญาณวิทยุ เพื่อจ่ายพลังงานให้กับชิปภายในบัตร จากนั้นเสาอากาศภายในบัตร ส่งข้อมูลกลับไปยังเครื่องอ่านฯ กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที ทำให้สามารถสื่อสารไปมาระหว่าง เครื่องอ่านฯ และบัตร ได้รับข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน อย่างรวดเร็วและราบรื่น บัตร RFID แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ตามวิธีการจ่ายพลังงานให้กับบัตร
บัตร RFID แบบแอคทีฟ (Active RFID Tag)
มีแบตเตอรี่ภายในบัตร จ่ายพลังงานให้กับชิป และ ช่วยให้บัตรสามารถส่งสัญญาณวิทยุไปยัง เครื่องอ่าน ได้ในระยะไกล สูงสุด 100 เมตร เหมาะสำหรับ การติดตามทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ เช่น รถบรรทุก ตู้คอนเทนเนอร์ หรือ ยานพาหนะในระบบ Toll Collection (เก็บค่าทางด่วนอัตโนมัติ) ระบบระบุตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และการตรวจสอบทางอุตสาหกรรม เนื่องจากมีแหล่งพลังงานภายใน จึงมีราคาแพงกว่า และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เช่น Easy Pass
บัตร RFID แบบพาสซีฟ (Passive RFID)
ไม่มีแหล่งพลังงานภายใน อาศัยพลังงานจากคลื่นวิทยุที่ปล่อยออกมาจาก เครื่องอ่านบัตร RFID เพื่อกระตุ้นการทำงานของชิปภายในบัตร เปิดวงจรและส่งข้อมูลกลับไปยัง เครื่องอ่านบัตรฯ บัตรประเภทนี้มีราคาถูก มีขนาดเล็กกว่าและใช้งานอย่างแพร่หลาย แทบไม่ต้องบำรุงรักษา เช่น บัตรสมาร์ทการ์ด เหมาะสำหรับ การชำระเงินแบบไร้สัมผัส บัตรเข้า-ออกอาคาร บัตรขนส่งสาธารณะ (ที่ใช้ระยะใกล้) การจัดการสินค้าคงคลัง และ การตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล (ระยะใกล้)
บัตร RFID แบบ กึ่งพาสซีฟ (Semi-Passive)
มีแบตเตอรี่จ่ายไฟให้กับ เซ็นเซอร์หรือหน่วยความจำภายใน แต่ยังคงใช้พลังงานจากเครื่องอ่าน (Reader) พึ่งพาสัญญาณจากเครื่องอ่านฯ เพื่อทำการส่งข้อมูลกลับไม่ยังเครื่องอ่านฯ ระยะการอ่านไกลกว่า แบบพาสซีฟ (ที่ไม่มีแบตเตอรี่เลย) แต่สั้นกว่า แบบแอคทีฟ (มีแบตเตอรี่ในตัว) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการติดต่อระยะกลาง เช่น ระบบโลจิสติกส์ห้องเย็น การตรวจสอบสภาพแวดล้อม การเก็บค่าผ่านทางที่ต้องการความแม่นยำสูงขึ้น และ แอปพลิเคชันการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ การตรวจจับอย่างต่อเนื่อง

3. ประเภทของ บัตร RFID แยกตามความถี่
บัตร RFID ยังถูกจำแนกตามความถี่ในการทำงาน โดยแต่ละความถี่มีคุณสมบัติเฉพาะตนและการใช้งานที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ดังนี้
ความถี่ต่ำ (LF) — 125 kHz ถึง 134.2 kHz
ระยะการอ่านสั้น โดยปกติไม่เกิน 10 ซม. อัตราการส่งข้อมูลต่ำ แต่ทนทานต่อสัญญาณรบกวนสูง เหมาะสำหรับ การระบุตัวตนของสัตว์ ระบบควบคุมการเข้าออกสำนักงาน และการติดฉลากในโรงงานอุตสาหกรรม
ความถี่สูง (HF) — 13.56 MHz
ระยะการอ่านปานกลาง ไม่กี่เซนติเมตรถึงประมาณ 1 เมตร การส่งข้อมูลที่เร็วขึ้น และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 14443 เหมาะสำหรับ บัตรโดยสารรถไฟฟ้า รถโดยสารสาธารณะ หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงินแบบไร้สัมผัส และ ระบบบรรณารักษ์ ห้องสมุด
ความถี่สูงพิเศษ (UHF) — 860 MHz ถึง 960 MHz
มีระยะการอ่านไกล สูงสุด 10 เมตรหรือมากกว่า การสื่อสารความเร็วสูง แต่ไวต่อสัญญาณรบกวนมากกว่า เหมาะสำหรับ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน สินค้าคงคลัง คลังสินค้า และการติดตามทรัพย์สินขนาดใหญ่

ข้อดีที่สำคัญของ บัตร RFID
บัตรชิปการ์ด RFID มีบทบาทสำคัญใน ระบบการระบุตัวตนอัจฉริยะและการแลกเปลี่ยนข้อมูล การนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ นั้นเกิดจากข้อดีที่สำคัญหลายประการ ส่วนนี้ขอสรุบข้อดีหลักๆ 5 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ความอเนกประสงค์ ความทนทาน และความคุ้มค่า
1. ความปลอดภัย มีการเข้ารหัส การป้องกันการคัดลอก และการป้องกันการดัดแปลงแก้ไข
2. ความสะดวกสบาย การใช้งานแบบไม่ต้องสัมผัส และ การตอบสนองที่รวดเร็ว กว่าการรูดบัตรหรือเสียบบัตร
3. ความอเนกประสงค์ ใช้งานได้หลากหลายและเข้ากันได้กับหลายระบบ หลากหลายฟังก์ชันบนแพลตฟอร์มต่างๆ
4. ความทนทาน ความทนทานของวัสดุทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว และ การใช้งานบ่อยครั้งในแต่ละวัน
5. ประสิทธิภาพด้านต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และ สามารถปรับขนาดการใช้งานได้เหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม
Cr.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม,ThaiEasyElec,MatchPoint Technology,